คุณเคยคิดไหมว่าหากคุณป่วยด้วยโรคร้ายแรง และจะมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียงอีก 2 เดือน คุณจะทำยังไง? และถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่าจะตอบยังไงดี? วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยป่วยด้วยโรคมะเร็งที่มดลูกระยะที่ 4 แต่หลังจากทำการรักษาแล้วกลับพบว่าเซลล์มะเร็งได้ลุกลามและแพร่กระจายไปในต่อมน้ำเหลืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากสภาพที่เป็นอยู่เธอได้รับการวินิจฉัยว่าสามารถอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 เดือน! แต่ ณ วันนี้ 20 ปีหลังการวินิจฉัยในครั้งนั้น เธอยังมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพดีเสียด้วย
ทีมงานกรุงเทพทิพโอสถได้ทราบเรื่องราวของคุณป้ายุพาครั้งแรก จากจดหมายเขียนด้วยลายมือของเธอที่ส่งเข้ามาเล่าประสบการณ์การใช้ยาประดงและการต่อสู้กับโรคร้ายให้ทางทีมหมอของบริษัทฯ รับทราบ เรื่องราวของเธอรับเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจและเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ คุณยุพาบอกว่ายินดีให้นำเรื่องราวของเธอมาบอกเล่าแบ่งปัน เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ต่อไป ทีมงานกรุงเทพทิพโอสถจึงติดต่อขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมเธอและขอสัมภาษณ์ ณ บ้านพักของเธอ ที่จังหวัดฉะเชิงเทราค่ะ
ทันทีที่พวกเราไปถึงหน้าบ้านของคุณป้ายุพา เธอก็ได้ออกมาต้อนรับพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส และเชื้อเชิญพวกเราทั้งหมดให้เข้าไปในบ้านสีฟ้าสด แต่จุดที่พวกเราเลือกที่จะนั่งพูดคุยกับเธอนั้นเป็นศาลาริมน้ำหลังน้อยที่ทำจากไม้อยู่ติดคลองสายยาวคดเคี้ยวไปอีกไกล และมีเรือลำเล็กๆ ของเธอผูกลอยอยู่ใกล้ๆ โดยมีอีกฝั่งเป็นทุ่งนาเขียวขจีทอดยาวออกไปค่ะ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงไปมาก เรารู้ว่ามีเวลาสนทนากับเธอไม่มากนักก่อนความมืดจะมาเยือน
คุณยุพาเริ่มเล่าว่าเมื่อปี 2537 ขณะที่ตนทำงานเป็นช่างเสริมสวยอยู่นั้น ได้มีอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้น จึงไปตรวจร่างกายและถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปาดมดลูกในระยะที่ 1 แพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกไปให้ แต่ผลจากการผ่าตัดทำให้ทุกคนทราบว่า “เธอไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 แต่เป็นระยะที่ 4 และมะเร็งได้ลุกลามแพร่กระจายเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองแล้วแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว” แพทย์ที่ทำการรักษาจึงต้องผ่าตัดเอาทั้งมดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ ทั้งสองข้างของเธอออกไป พร้อมกันนั้นยังต้องผ่าตัดเอาไส้ติ่ง และเลาะต่อมน้ำเหลืองที่มีมะเร็งลุกลามออกไปด้วย แต่เหมือนมัจจุราชจะยังไม่ปราณีเธอ เพราะหลังจากการผ่าตัดแล้วยังพบว่าเซลล์มะเร็งไม่ยอมหมดและยังลุกลามไปทั่วร่างกายอีก จนเธอต้องทนทุกข์ทรมานจนแทบจะขาดใจตาย เธอเจ็บปวดทุกรูขุมขน จนแพทย์ต้องฉีดมอร์ฟีนลดปวดให้ทุกๆ 3 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น และเริ่มทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนเหลือน้ำหนักเพียง 32 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งจากอาการของเธอในตอนนั้นบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าไม่น่ารอด แพทย์ผู้ทำการรักษาจึงได้บอกให้ทุกคนเริ่มทำใจ เพราะจากอาการที่เป็นอยู่เธอน่าจะอยู่ได้มากสุดไม่เกิน 2 เดือน ขณะนั้นชีวิตของเธอเหมือนกับแสงเทียนที่กำลังริบหรี่จวนจะมอด ถ้าหากไม่มีพี่สาวที่รู้จักแนะนำยาประดงมาให้ ครั้งแรกที่เธอทานยาประดง เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่อาจเป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้ว เธอจึงตัดสินใจลองดู
หลังจากทานยาประดงไปสักพัก อาการต่างๆ ก็เริ่มดีขึ้น ความเจ็บปวดค่อยๆ ลดลง ไม่ทรมานเหมือนก่อนหน้านี้ เธอเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งหนึ่ง โดยมีกำลังใจสำคัญจากคนในครอบครัวด้วย จนในที่สุดร่างกายของเธอค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ทานข้าวได้มากขึ้น แข็งแรงขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้เธอมั่นใจว่าเธอจะต้องรอดแน่นอน และมันก็เป็นอย่างนั้น “เธอรอดราวกับปาฏิหาริย์” นี่คือสิ่งที่ทุกๆ คนบอกกับเธอค่ะ หลังจากที่ร่างกายของเธอแข็งแรงดีแล้ว เธอก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านทำงานเล็กๆน้อยๆ ในช่วงแรกๆ แพทย์ยังคงนัดให้เธอไปตรวจร่างกายทุกๆเดือน แล้วค่อยๆ ทิ้งห่างมากขึ้นเป็นทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 2 ปี จนในที่สุดแพทย์ก็บอกกับเธอว่าไม่ต้องมาตรวจอีก เธอถามแพทย์ที่ทำการรักษาว่าเธอหายแล้วใช่ไหม? ถึงไม่นัดมาอีก แม้จะตอบด้วยรอยยิ้ม คุณหมอบอกว่าโรคนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้น เธอจึงทานยาประดง กรุงเทพทิพโอสถ มาโดยตลอดเพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นอีกแล้ว คุณยุพาบอกกับพวกเราว่าเธอกลัวว่าโรคร้ายจะกลับมาเป็นซ้ำอีก เพราะมีคนรู้จักหลายคนที่กลับมาเป็นซ้ำบ่อยๆ หลังจากทำการรักษารอบแรกไปแล้ว และเสียชีวิตในเวลาต่อมาเพียงไม่นาน ความเจ็บปวดจากโรคร้ายในวันวานยังคงชัดแจ้งอยู่ในความทรงจำของเธอไม่จางหาย จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมา 22 ปีแล้ว เธอนึกขอบคุณ 3 สิ่ง (1) พี่สาวที่รู้จักที่เป็นคนแนะนำยาประดงกรงเทพทิพโอสถให้ ซึ่งตอนนี้เธอได้จากไปแล้ว (2) พี่สาวแท้ๆ ที่เป็นคนซื้อยาและส่งให้ ตั้งแต่สมัยที่ยายังหาซื้อยาก (3) ผู้ทำยาประดงที่เธอรับประทานมาตลอด ถ้าไม่มี 3 สิ่งนี้ก็คงไม่มีเธอในวันนี้
เธอยังบอกกับพวกเราอีกว่าการที่จะเอาชนะมะเร็งได้นั้นใจต้องสู้ ต้องเข้มแข็งจริงๆ บางครั้งคำพูดของคนอื่นๆ ก็อาจมีทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่เราก็ไม่ควรใส่ใจกับคำพูดที่ทำให้รู้สึกแย่ บางคนมาบอกให้ทำใจ มาเยี่ยมมาดูใจ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะตาย พวกเราคิดว่าใจที่สู้ของเธอ ใจที่สั่งร่างกายให้อดทนก็นับเป็นยาสำคัญเช่นกัน ทุกวันนี้มุมมองเกี่ยวกับโรคมะเร็งของคุณยุพาเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่คิดว่ามะเร็งใครเป็นก็ตาย แต่ทุกวันนี้เธอรู้แล้วว่ามะเร็งไม่ได้ตายเสมอไป ยิ่งตรวจเจอในระยะแรกยิ่งรักษาได้ง่ายกว่าระยะอื่นๆ เธอบอกกับเราว่าเธอจะทานยาประดงไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันโรคร้ายกลับมาเป็นซ้ำ เนื่องจากยาประดงสร้างปาฏิหาริย์ให้กับเธอ และเธอก็ได้ส่งมอบความปรารถนาดีนี้ให้กับผู้ป่วยอีกหลายๆ คน และพวกเขาเหล่านั้นก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน รอยยิ้มของเธอทำให้พวกเรารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก “จากที่เค้าบอกป้าว่าคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน วันนี้ป้าอยู่มา 20 ปีแล้ว ฝั่งคลองโน้นมีคนเป็นมะเร็งก็มาคุยกับป้า ป้าแนะนำไป นี่ 5 ปีผ่านไปก็ยังอยู่นะ”
ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าจากด้านหลังของเธอเป็นสัญญาณบอกว่าวันนี้ภาระของพระอาทิตย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เขาจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ชีวิตของคนเราเองก็เช่นกันค่ะ ที่ต้องมีทั้งความมืดและความสว่าง ซึ่งหากคุณอยู่ในช่วงเวลาแห่งความมืดก็ขอให้อดทนอาไว้นะคะ เพราะอีกไม่นานความสว่างก็จะกลับมาเยือนอีกครั้งแน่นอนค่ะ ปาฏิหาริย์สำหรับคนอื่นๆ คืออะไรไม่รู้! แต่สำหรับพวกเราแล้วปาฏิหาริย์มันคือ “การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค์ใดๆ” นั่นเองค่ะ
ด้วยความปรารถนาดีจาก
#ทีมแพทย์แผนไทยกรุงเทพทิพโอสถ
#น้ำเหลืองดีสุขภาพดี
🔹ผู้นำทางด้านการวิจัยพัฒนา
🔹และการผลิตยาตำรับจากสมุนไพรเพื่อรักษาโรคร้าย
🔹HERBAL MEDICINE
📞 02-441-4966
📲 LINE: @bangkoktiposod
📌 จ.-ส. เวลา 8:30-17:00 น